DHL Express ผู้นำด้านการขนส่งด่วนระหว่างประเทศ รวบรวม 10 เรื่องต้องรู้ก่อนส่งของไปญี่ปุ่น เพื่อให้ลูกค้าของ DHL Express ทุกคนได้ขยายธุรกิจไปญี่ปุ่นได้อย่างมีกลยุทธ์ และที่สำคัญ มี DHL Express เป็นลอจิสติกส์พาร์ทเนอร์ช่วยให้การส่งของไปญี่ปุ่นเป็นไปได้อย่างราบรื่น ไม่ล่าช้าอีกด้วย
1. ญี่ปุ่น ยักษ์ใหญ่ด้านเศรษฐกิจของโลก
ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสามของโลก และได้รับการจัดอันดับจากธนาคารโลกให้เป็นประเทศที่มีความง่ายในการทำธุรกิจอยู่ในลำดับที่ 34 จากทั้งหมด 190 ประเทศที่มีการสำรวจ การจะเข้าไปทำธุรกิจในประเทศญี่ปุ่นได้นั้น ยังคงมีความซับซ้อนกว่าประเทศอื่นในเรื่องการตั้งบริษัท การขอเงินทุน การจ่ายภาษี ฯลฯ แต่ปัจจุบัน ในยุคที่อีคอมเมิร์ซเชื่อมการค้าระหว่างประเทศให้เกิดขึ้นโดยไม่ต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การส่งของจากไทยไปญี่ปุ่น ทำได้รวดเร็วภายในเวลาแค่ 1 วัน ย่นระยะทางจากไทยและญี่ปุ่นให้ใกล้ขึ้น การเชื่อมต่อธุรกิจไทยไปยังผู้บริโภคในญี่ปุ่นจึงง่ายขึ้นกว่าเดิม
2. ภาพรวมเศรษฐกิจของญี่ปุ่น
หากจำแนกตาม sector แล้ว ภาคบริการเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจของญี่ปุ่นมากถึง 69.3% รองลงมาเป็นภาคอุตสาหกรรม 29.7% และภาคเกษตรกรรม 1% ส่วนสินค้าที่ญี่ปุ่นนำเข้ามาในประเทศมากที่สุดได้แก่ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น สมาร์ทโฟน อุปกรณ์หรือชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อย่างบอร์ดวงจรและเครื่องมือที่ใช้สำหรับผลิตและประกอบต่างๆ เครื่องกังหัน/ใบพัด เทอร์โบเจ็ต เครื่องยนต์ใบพัด อุปกรณ์เกี่ยวกับใบพัด โดยมีอัตราการนำเข้าเติบโตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2013 รวมถึงกลุ่มอาหารและสุขภาพ เนื่องจากคนญี่ปุ่นนิยมทานอาหารเพื่อสุขภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอาหารแห้ง อาหารแปรรูปหรือผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกาย โดยมีอัตราการเติบโต 8.2% ต่อปี
3. ญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในตลาดอีคอมเมิร์ซที่สำคัญ
ญี่ปุ่นมีจำนวนนักช้อปออนไลน์มากมาย เป็นประเทศที่น่าลงทุนสำหรับเจ้าของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ญี่ปุ่นมีประชากรเกือบ 127 ล้านคน และกว่า 92.7% เข้าถึงการใช้งานอินเทอร์เน็ต นอกจากนี้ กว่า 76% ของประชากรจำนวนนั้นล้วนแต่มีพฤติกรรมช้อปปิ้งออนไลน์ อัตราการเติบโตของอีคอมเมิร์ซในญี่ปุ่นอยู่ที่ 32.6% และมีมูลค่า B2C E-commerce ราว 79.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ผลสำรวจของ MasterCard เมื่อหลายปีที่ผ่านมาบอกว่า 19.9% ของคนญี่ปุ่นซื้อของข้ามประเทศผ่านดิจิทัล (digital purchase) สำหรับในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกนี้ แม้ว่าจีนจะเป็นผู้นำตลาดอีคอมเมิร์ซที่เติบโตเร็วที่สุดและใหญ่ที่สุดอยู่ก็ตาม (รวมถึงอีคอมเมิร์ซระหว่างประเทศ) แต่ความน่าสนใจของญี่ปุ่นสำหรับคนทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซและต้องการขยายธุรกิจให้มีความเป็นสากลมากขึ้น ก็ไม่ควรมองข้าม
4. แล้วคนญี่ปุ่นซื้ออะไรบนโลกออนไลน์?
มูลค่าการซื้อขายอีคอมเมิร์ซในญี่ปุ่นเมื่อปี 2018 สูงถึง 105 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และคาดว่าจะโต 6.2% ระหว่างปี 2018-2022 DHL Express รวบรวมสินค้ายอดนิยมในตลาดอีคอมเมิร์ซในญี่ปุ่นมาฝาก SME และผู้ขายบนอีมาร์เก็ตเพลสต่างๆ กัน
เป็นไปในทิศทางเดียวกับผลสำรวจของ DHL Express เกี่ยวกับการซื้อของออนไลน์ระหว่างประเทศของคนญี่ปุ่นว่า คนญี่ปุ่นซื้อหนังสือ ซีดีหรือวิดีโอเกม มากที่สุด (27%) รองลงมา ได้แก่ เครื่องสำอาง (21%) เสื้อผ้าและรองเท้า (20%) อาหาร (14%) กล้องดิจิทัล (12%) และโทรศัพท์มือถือ (10%)
5. ญี่ปุ่นจะมีคนสูงวัยมากขึ้น
ว่ากันว่า จากประชากรเกือบ 127 ล้านคนในญี่ปุ่น จะลดลงเหลือ 100 ล้านคนภายในปี 2050! ญี่ปุ่นมีจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น ในขณะที่อัตราการเกิดในญี่ปุ่นอยู่ในระดับต่ำ ทำให้ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่อัตราส่วนของคนอายุ 65 ปีขึ้นไปมากที่สุดในโลก เป็นโอกาสที่จะจับตลาดของผู้บริโภคที่มีฐานะร่ำรวยและมีความเป็นผู้ใหญ่ และผลการสำรวจของ DHL พบว่า คนญี่ปุ่นอายุมากกว่า 55 ปี ใช้เวลาอยู่บนโลกออนไลน์มากที่สุด ดังนั้น อย่าประเมินค่าผู้สูงอายุในญี่ปุ่นต่ำไป คนเหล่านี้อาจจะกำลังกลายมาเป็นลูกค้าประจำของธุรกิจอีคอมเมิร์ซของคุณก็ได้!
6. การชื้อของจากผู้ขายในต่างประเทศเป็นเรื่องปกติ แต่เหตุผลที่คนญี่ปุ่นอาจตัดสินใจ “ไม่ซื้อ” ของจากต่างประเทศมีอะไรบ้าง
เหตุผลที่ทำให้คนญี่ปุ่นตัดสินใจ “ไม่ซื้อ” ของจากต่างประเทศ จากการสำรวจของ DHL Express คือ
สรุป สิ่งที่จะช่วยให้คนญี่ปุ่นตัดสินใจซื้อสินค้าของคุณได้ง่ายขึ้น คือ สินค้าของคุณต้องมีความโดดเด่น แตกต่าง เป็นแบบที่ไม่มีขายในญี่ปุ่น ต้องวางขายในอีมาร์เก็ตเพลสที่คนญี่ปุ่นไว้ใจ เช่น Rakuten, Amazon Japan หรือ Yahoo Japan หรือถ้าขายในเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซของคุณเอง เว็บของคุณจะต้องให้ผู้ซื้อเปลี่ยนภาษาเป็นญี่ปุ่นได้ มีเงื่อนไขการซื้อ การจัดส่ง หรือนโยบายการคืนสินค้าที่ชัดเจน และที่สำคัญที่สุด ระบุให้ชัดตั้งแต่หน้าแรกว่าร้านของคุณส่งของไปต่างประเทศได้ เพื่อช่วยให้ผู้ซื้อจากญี่ปุ่นตัดสินใจเลือกดูสินค้าต่อ หรือเลือกซื้อสินค้ากับเราตั้งแต่ครั้งแรกที่เข้ามาในเว็บไซต์
7. แล้วเหตุผลที่ทำให้คนญี่ปุ่นตัดสินใจ “ซื้อ” ของจากต่างประเทศล่ะ มีอะไรบ้าง
จากการสำรวจของ DHL Express อีกเช่นกัน กับคำถามที่ว่า เหตุผลอะไรที่ทำให้คนญี่ปุ่นตัดสินใจ “ซื้อ” ของจากต่างประเทศและไม่ซื้อของที่อยู่ในประเทศตัวเอง คำตอบที่ได้คือ
8. ก่อนจะส่งของไปถึงญี่ปุ่น ของเหล่านี้ส่งออกจากประเทศไทยได้ไหมนะ?
การส่งของจากไทยไปต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น ผู้ส่งต้องปฏิบัติตามระเบียบด้านศุลกากรของประเทศต้นทาง ในที่นี้คือประเทศไทย ว่าของอะไรที่เป็นของต้องห้าม (Prohibited goods) หรือต้องกำกัด (Restricted goods) ในการส่งออกนอกราชอาณาจักรไทย และของชิ้นนั้นเป็นของต้องห้ามหรือต้องกำกัดในการนำเข้าไปในประเทศญี่ปุ่นหรือไม่ DHL Express ในฐานะผู้นำด้านการขนส่งด่วนระหว่างประเทศ และลอจิสติกส์พาร์ทเนอร์ของธุรกิจไทยทุกขนาดจะทำหน้าที่ช่วยดูแลคุณในเรื่องการส่งของไปญี่ปุ่นให้เป็นเรื่องง่าย
ของต้องห้ามที่ DHL Express จะไม่รับส่งออกนอกประเทศไทยผ่านเน็ตเวิร์คการขนส่งทางอากาศ ได้แก่
ของต้องกำกัด หมายถึงสินค้าที่ต้องควบคุม สามารถส่งออกได้ แต่มีระเบียบการควบคุมชัดเจนต้องปฏิบัติตาม ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของปริมาณ มูลค่า การขออนุญาตส่งออกกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น ตัวอย่างสินค้าที่ต้องควบคุมในการส่งออกนอกประเทศไทย ได้แก่ หน้ากากอนามัย, โบราณวัตถุหรืองานศิลปะที่มีมูลค่าการขนส่งมากกว่า 500,000 ยูโร, กัญชาที่ใช้ในการรักษาทางการแพทย์ที่มีใบอนุญาตการครอบครองโดยสุจริตให้ทำการขนส่งได้ตามกฎหมาย ในรูปแบบเม็ดหรือของเหลว ซึ่งมูลค่าการขนส่งต่อครั้งต้องไม่เกิน 10,000 ยูโร, บุหรี่ ซิการ์ ยาสูบและบุหรี่ไฟฟ้า ที่มีมูลค่าการขนส่งมากกว่า 500,000 ยูโร เป็นต้น
มีสินค้าที่ต้องควบคุมในการส่งออกนอกราชอาณาจักรไทยอีกมากมาย เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายที่ดูแลท่านหรือสอบถาม รับคำแนะนำในการจัดส่งเอกสารและพัสดุไปทั่วโลกผ่าน Live Chat หรือโทร 02-345-5000
9. แล้วของเหล่านี้ นำเข้าไปในญี่ปุ่นได้หรือเปล่า
ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีความเข้มงวดในการนำเข้าสินค้าอย่างมาก โดยเฉพาะสินค้าประเภทอาหาร ต้องผ่านกระบวนการการผลิตอย่างดีและมีบรรจุภัณฑ์อย่างดี มาดูตัวอย่างกันว่าการส่งของไปญี่ปุ่นผ่านเน็ตเวิร์คการขนส่งทางอากาศของ DHL Express ส่งอะไรได้หรือไม่ได้บ้างและต้องเตรียมอะไรเพิ่มเติมเพื่อให้การส่งของไปญี่ปุ่นเป็นไปอย่างราบรื่น
นี่เป็นแค่บางส่วนเท่านั้น ถ้ามีคำถามเกี่ยวกับการส่งของไปญี่ปุ่น สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายที่ดูแลท่าน หรือคุยกับเจ้าหน้าที่ของ DHL Express ได้เลยโดยคลิกปุ่ม Live Chat
10. ส่งของไปญี่ปุ่น ส่งแบบไหนดี
แต่ละประเทศ รวมถึงญี่ปุ่นต่างก็มีระเบียบด้านศุลกากรที่ไม่เหมือนกัน เลือกส่งของไปญี่ปุ่นกับผู้ให้บริการที่เชี่ยวชาญด้านศุลกากรอย่าง DHL Express มั่นใจได้ในคุณภาพที่เป็นที่ไว้ใจทั่วโลก ต้องการส่งของไปญี่ปุ่นใช่ไหม? เช็กราคาแล้วส่งเลยผ่าน MyDHL+ คลิก
หากไม่มั่นใจ สามารถตรวจสอบเงื่อนไขการส่งไปยังญี่ปุ่นกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายที่ดูแลท่าน หรือติดต่อเจ้าหน้าผ่าน Live Chat ตามวันเวลาทำการ หรือโทรศัพท์ 02-345-5000 ตลอด 24 ชั่วโมง