Blogs Detail

10 เรื่องต้องรู้ ก่อนส่งของไปญี่ปุ่น

10 เรื่องต้องรู้ ก่อนส่งของไปญี่ปุ่น
อัพเดทล่าสุด : 10/10/2022 - 16:34:04

DHL Express ผู้นำด้านการขนส่งด่วนระหว่างประเทศ รวบรวม 10 เรื่องต้องรู้ก่อนส่งของไปญี่ปุ่น เพื่อให้ลูกค้าของ DHL Express ทุกคนได้ขยายธุรกิจไปญี่ปุ่นได้อย่างมีกลยุทธ์ และที่สำคัญ มี DHL Express เป็นลอจิสติกส์พาร์ทเนอร์ช่วยให้การส่งของไปญี่ปุ่นเป็นไปได้อย่างราบรื่น ไม่ล่าช้าอีกด้วย

 

1.     ญี่ปุ่น ยักษ์ใหญ่ด้านเศรษฐกิจของโลก

 

ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสามของโลก และได้รับการจัดอันดับจากธนาคารโลกให้เป็นประเทศที่มีความง่ายในการทำธุรกิจอยู่ในลำดับที่ 34 จากทั้งหมด 190 ประเทศที่มีการสำรวจ การจะเข้าไปทำธุรกิจในประเทศญี่ปุ่นได้นั้น ยังคงมีความซับซ้อนกว่าประเทศอื่นในเรื่องการตั้งบริษัท การขอเงินทุน การจ่ายภาษี ฯลฯ แต่ปัจจุบัน ในยุคที่อีคอมเมิร์ซเชื่อมการค้าระหว่างประเทศให้เกิดขึ้นโดยไม่ต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การส่งของจากไทยไปญี่ปุ่น ทำได้รวดเร็วภายในเวลาแค่ 1 วัน ย่นระยะทางจากไทยและญี่ปุ่นให้ใกล้ขึ้น การเชื่อมต่อธุรกิจไทยไปยังผู้บริโภคในญี่ปุ่นจึงง่ายขึ้นกว่าเดิม  

 

2.     ภาพรวมเศรษฐกิจของญี่ปุ่น

 

หากจำแนกตาม sector แล้ว ภาคบริการเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจของญี่ปุ่นมากถึง 69.3% รองลงมาเป็นภาคอุตสาหกรรม 29.7% และภาคเกษตรกรรม 1% ส่วนสินค้าที่ญี่ปุ่นนำเข้ามาในประเทศมากที่สุดได้แก่ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น สมาร์ทโฟน อุปกรณ์หรือชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อย่างบอร์ดวงจรและเครื่องมือที่ใช้สำหรับผลิตและประกอบต่างๆ เครื่องกังหัน/ใบพัด เทอร์โบเจ็ต เครื่องยนต์ใบพัด อุปกรณ์เกี่ยวกับใบพัด โดยมีอัตราการนำเข้าเติบโตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2013 รวมถึงกลุ่มอาหารและสุขภาพ เนื่องจากคนญี่ปุ่นนิยมทานอาหารเพื่อสุขภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอาหารแห้ง อาหารแปรรูปหรือผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกาย โดยมีอัตราการเติบโต 8.2% ต่อปี

 

3.     ญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในตลาดอีคอมเมิร์ซที่สำคัญ

 

ญี่ปุ่นมีจำนวนนักช้อปออนไลน์มากมาย เป็นประเทศที่น่าลงทุนสำหรับเจ้าของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ญี่ปุ่นมีประชากรเกือบ 127 ล้านคน และกว่า 92.7% เข้าถึงการใช้งานอินเทอร์เน็ต นอกจากนี้ กว่า 76% ของประชากรจำนวนนั้นล้วนแต่มีพฤติกรรมช้อปปิ้งออนไลน์ อัตราการเติบโตของอีคอมเมิร์ซในญี่ปุ่นอยู่ที่ 32.6% และมีมูลค่า B2C E-commerce ราว 79.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

 

ผลสำรวจของ MasterCard เมื่อหลายปีที่ผ่านมาบอกว่า 19.9% ของคนญี่ปุ่นซื้อของข้ามประเทศผ่านดิจิทัล (digital purchase) สำหรับในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกนี้ แม้ว่าจีนจะเป็นผู้นำตลาดอีคอมเมิร์ซที่เติบโตเร็วที่สุดและใหญ่ที่สุดอยู่ก็ตาม (รวมถึงอีคอมเมิร์ซระหว่างประเทศ) แต่ความน่าสนใจของญี่ปุ่นสำหรับคนทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซและต้องการขยายธุรกิจให้มีความเป็นสากลมากขึ้น ก็ไม่ควรมองข้าม

 

4.   แล้วคนญี่ปุ่นซื้ออะไรบนโลกออนไลน์?

มูลค่าการซื้อขายอีคอมเมิร์ซในญี่ปุ่นเมื่อปี 2018 สูงถึง 105 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และคาดว่าจะโต 6.2% ระหว่างปี 2018-2022 DHL Express รวบรวมสินค้ายอดนิยมในตลาดอีคอมเมิร์ซในญี่ปุ่นมาฝาก SME และผู้ขายบนอีมาร์เก็ตเพลสต่างๆ กัน

  •         อาหารและผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกาย มีมูลค่าการซื้อขายบนอีคอมเมิร์ซ 19.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2018 และมีอัตราการเติบโต 8.2% ในช่วงปี 2018-2022
  •         แฟชั่น มีมูลค่าการซื้อขายบนอีคอมเมิร์ซ 16 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2018 และมีอัตราการเติบโต 6.4% ในช่วงปี 2018-2022
  •         เฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้า มีมูลค่าการซื้อขายบนอีคอมเมิร์ซ 20.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2018 และมีอัตราการเติบโต 6.2% ในช่วงปี 2018-2022
  •         อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ มีมูลค่าการซื้อขายบนอีคอมเมิร์ซ 23 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2018 และมีอัตราการเติบโต 5.4% ในช่วงปี 2018-2022
  •         กลุ่มสินค้างานอดิเรก ของเล่น DIY มีมูลค่าการซื้อขายบนอีคอมเมิร์ซ 24 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2018 และมีอัตราการเติบโต 5.1% ในช่วงปี 2018-2022

 

เป็นไปในทิศทางเดียวกับผลสำรวจของ DHL Express เกี่ยวกับการซื้อของออนไลน์ระหว่างประเทศของคนญี่ปุ่นว่า คนญี่ปุ่นซื้อหนังสือ ซีดีหรือวิดีโอเกม มากที่สุด (27%) รองลงมา ได้แก่ เครื่องสำอาง (21%) เสื้อผ้าและรองเท้า (20%) อาหาร (14%) กล้องดิจิทัล (12%) และโทรศัพท์มือถือ (10%)

 

5.   ญี่ปุ่นจะมีคนสูงวัยมากขึ้น

ว่ากันว่า จากประชากรเกือบ 127 ล้านคนในญี่ปุ่น จะลดลงเหลือ 100 ล้านคนภายในปี 2050! ญี่ปุ่นมีจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น ในขณะที่อัตราการเกิดในญี่ปุ่นอยู่ในระดับต่ำ ทำให้ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่อัตราส่วนของคนอายุ 65 ปีขึ้นไปมากที่สุดในโลก เป็นโอกาสที่จะจับตลาดของผู้บริโภคที่มีฐานะร่ำรวยและมีความเป็นผู้ใหญ่ และผลการสำรวจของ DHL พบว่า คนญี่ปุ่นอายุมากกว่า 55 ปี ใช้เวลาอยู่บนโลกออนไลน์มากที่สุด ดังนั้น อย่าประเมินค่าผู้สูงอายุในญี่ปุ่นต่ำไป คนเหล่านี้อาจจะกำลังกลายมาเป็นลูกค้าประจำของธุรกิจอีคอมเมิร์ซของคุณก็ได้!

 

6.   การชื้อของจากผู้ขายในต่างประเทศเป็นเรื่องปกติ แต่เหตุผลที่คนญี่ปุ่นอาจตัดสินใจ “ไม่ซื้อ” ของจากต่างประเทศมีอะไรบ้าง

 

เหตุผลที่ทำให้คนญี่ปุ่นตัดสินใจ “ไม่ซื้อ” ของจากต่างประเทศ จากการสำรวจของ DHL Express คือ

 

  •         ญี่ปุ่นมีของชิ้นนั้นอยู่แล้ว (50%)
  •         คิดว่าจะติดขัดเรื่องภาษาในการสื่อสาร (26%)
  •         คิดว่าน่าจะยุ่งยากเรื่องการคืนสินค้า (25%)
  •         คิดว่าการจัดส่งจากต่างประเทศน่าจะใช้เวลานาน (23%)
  •         ไม่ไว้ใจเว็บไซต์ต่างประเทศ (23%)

 

สรุป สิ่งที่จะช่วยให้คนญี่ปุ่นตัดสินใจซื้อสินค้าของคุณได้ง่ายขึ้น คือ สินค้าของคุณต้องมีความโดดเด่น แตกต่าง เป็นแบบที่ไม่มีขายในญี่ปุ่น ต้องวางขายในอีมาร์เก็ตเพลสที่คนญี่ปุ่นไว้ใจ เช่น Rakuten, Amazon Japan หรือ Yahoo Japan หรือถ้าขายในเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซของคุณเอง เว็บของคุณจะต้องให้ผู้ซื้อเปลี่ยนภาษาเป็นญี่ปุ่นได้ มีเงื่อนไขการซื้อ การจัดส่ง หรือนโยบายการคืนสินค้าที่ชัดเจน และที่สำคัญที่สุด ระบุให้ชัดตั้งแต่หน้าแรกว่าร้านของคุณส่งของไปต่างประเทศได้ เพื่อช่วยให้ผู้ซื้อจากญี่ปุ่นตัดสินใจเลือกดูสินค้าต่อ หรือเลือกซื้อสินค้ากับเราตั้งแต่ครั้งแรกที่เข้ามาในเว็บไซต์

 

7.   แล้วเหตุผลที่ทำให้คนญี่ปุ่นตัดสินใจ “ซื้อ” ของจากต่างประเทศล่ะ มีอะไรบ้าง

จากการสำรวจของ DHL Express อีกเช่นกัน กับคำถามที่ว่า เหตุผลอะไรที่ทำให้คนญี่ปุ่นตัดสินใจ “ซื้อ” ของจากต่างประเทศและไม่ซื้อของที่อยู่ในประเทศตัวเอง คำตอบที่ได้คือ

  •         มีของ (45%) ตัวอย่าง ของสะสมชิ้นหายากที่กระจายตัวอยู่ทั่วโลก ถ้าหาทั่วญี่ปุ่นไม่มีแล้ว ถ้าเรามีของสิ่งนั้นที่คนญี่ปุ่นต้องการแล้ว เป็นเหตุผลลำดับต้นๆ ที่ทำให้คนญี่ปุ่นซื้อของกับเรา
  •         เงื่อนไขการขายที่ดีกว่า (38%) เงื่อนไขที่ว่าต้องแตกต่างจากที่สินค้านั้นๆ วางจำหน่ายในญี่ปุ่นด้วย
  •         คุณภาพดีกว่า (17%)
  •         มีผลิตภัณฑ์ให้เลือกหลากหลาย (13%)
  •         มีข้อเสนอที่น่าสนใจ (9%)

 

 8.   ก่อนจะส่งของไปถึงญี่ปุ่น ของเหล่านี้ส่งออกจากประเทศไทยได้ไหมนะ?

การส่งของจากไทยไปต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น ผู้ส่งต้องปฏิบัติตามระเบียบด้านศุลกากรของประเทศต้นทาง ในที่นี้คือประเทศไทย ว่าของอะไรที่เป็นของต้องห้าม (Prohibited goods) หรือต้องกำกัด (Restricted goods) ในการส่งออกนอกราชอาณาจักรไทย และของชิ้นนั้นเป็นของต้องห้ามหรือต้องกำกัดในการนำเข้าไปในประเทศญี่ปุ่นหรือไม่ DHL Express ในฐานะผู้นำด้านการขนส่งด่วนระหว่างประเทศ และลอจิสติกส์พาร์ทเนอร์ของธุรกิจไทยทุกขนาดจะทำหน้าที่ช่วยดูแลคุณในเรื่องการส่งของไปญี่ปุ่นให้เป็นเรื่องง่าย

 

ของต้องห้ามที่ DHL Express จะไม่รับส่งออกนอกประเทศไทยผ่านเน็ตเวิร์คการขนส่งทางอากาศ ได้แก่ 

  •        สิ่งมีชีวิต (รวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียงสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์น้ำ สัตว์ไร้กระดูกสันหลัง สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ สัตว์ปีก แมลง ตัวอ่อนและดักแด้ของสัตว์)
  •         สัตว์ที่ถูกล่าหรือชิ้นส่วนสัตว์ ซากสัตว์ เช่น งาช้างและหูฉลาม หรือชิ้นส่วน เถ้าที่หลงเหลือของสัตว์ หรือสินค้าที่มีสัตว์เป็นส่วนประกอบและสินค้าที่ไม่ใช่เพื่อการบริโภคของมนุษย์ หรือสินค้าที่ต้องห้ามจากการเคลื่อนไหวขององค์กร CITES สิ่งที่อยู่ในสนธิสัญญาและ/หรือกฎหมายท้องถิ่น
  •        ศพ หรืออัฐิในทุกรูปแบบ
  •        ทองแท่ง (หรือโลหะมีค่าต่างๆ)
  •        เงินสด
  •         แร่รัตนชาติ หรือชิ้นส่วนของแร่รัตนชาติ (เจียระไนหรือไม่เจียระไน/ ขัดเงาหรือไม่ขัดเงา)
  •         อาวุธปืน กระสุน วัตถุระเบิด ชิ้นส่วนระเบิด รวมถึงปืนอัดลม ปืนเลียนแบบและกระสุนเลียนแบบ
  •         สิ่งของผิดกฎหมาย เช่น สินค้าปลอมแปลงและสารเสพติด

ของต้องกำกัด หมายถึงสินค้าที่ต้องควบคุม สามารถส่งออกได้ แต่มีระเบียบการควบคุมชัดเจนต้องปฏิบัติตาม ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของปริมาณ มูลค่า การขออนุญาตส่งออกกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น ตัวอย่างสินค้าที่ต้องควบคุมในการส่งออกนอกประเทศไทย ได้แก่ หน้ากากอนามัย, โบราณวัตถุหรืองานศิลปะที่มีมูลค่าการขนส่งมากกว่า 500,000 ยูโร, กัญชาที่ใช้ในการรักษาทางการแพทย์ที่มีใบอนุญาตการครอบครองโดยสุจริตให้ทำการขนส่งได้ตามกฎหมาย ในรูปแบบเม็ดหรือของเหลว ซึ่งมูลค่าการขนส่งต่อครั้งต้องไม่เกิน 10,000 ยูโร, บุหรี่ ซิการ์ ยาสูบและบุหรี่ไฟฟ้า ที่มีมูลค่าการขนส่งมากกว่า 500,000 ยูโร เป็นต้น 

มีสินค้าที่ต้องควบคุมในการส่งออกนอกราชอาณาจักรไทยอีกมากมาย เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายที่ดูแลท่านหรือสอบถาม รับคำแนะนำในการจัดส่งเอกสารและพัสดุไปทั่วโลกผ่าน Live Chat หรือโทร 02-345-5000

 

9.   แล้วของเหล่านี้ นำเข้าไปในญี่ปุ่นได้หรือเปล่า

ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีความเข้มงวดในการนำเข้าสินค้าอย่างมาก โดยเฉพาะสินค้าประเภทอาหาร ต้องผ่านกระบวนการการผลิตอย่างดีและมีบรรจุภัณฑ์อย่างดี มาดูตัวอย่างกันว่าการส่งของไปญี่ปุ่นผ่านเน็ตเวิร์คการขนส่งทางอากาศของ DHL Express ส่งอะไรได้หรือไม่ได้บ้างและต้องเตรียมอะไรเพิ่มเติมเพื่อให้การส่งของไปญี่ปุ่นเป็นไปอย่างราบรื่น

  •        สินค้าที่ไม่สามารถนำเข้าไปในญี่ปุ่นได้ เช่น อาหารที่มีส่วนผสมของเนื้อสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นแฮม ไส้กรอก เนื้อแช่แข็ง ฯลฯ อาหารที่มีส่วนผสมของไข่ไก่ ปลา ถั่วทุกประเภท ผักผลไม้สด ผักผลไม้แช่แข็ง เป็นต้น ล้วนไม่สามารถนำเข้าไปในญี่ปุ่นได้ผ่านเน็ตเวิร์คการขนส่งทางอากาศของ DHL Express
  •         เมล็ดกาแฟสดสีเขียวและกาแฟที่ยังไม่ได้คั่ว ไม่สามารถนำเข้าไปในญี่ปุ่นได้ ยกเว้นที่คั่วแล้วหรือที่แปรรูปแล้ว สามารถนำเข้าไปได้โดยผู้รับต้องมีใบอนุญาตนำเข้าอาหารหากจะนำไปจำหน่ายหรือเพื่อแจกจ่ายทั่วไปโดยที่ไม่ระบุจำนวน
  •         ปืนของเล่นไม่สามารถนำเข้าไปในญี่ปุ่นได้ ส่วนของเล่นสำหรับเด็กทารกหรือเด็กเล็กจะต้องผ่านการตรวจสอบด้านอาหาร ซึ่งมักจะทำให้การขนส่งล่าช้า 2-3 วัน
  •         การนำเข้าแว่นตาหรือคอนแท็กเลนส์ หากเป็นการนำเข้าไปในญี่ปุ่นเพื่อใช้ส่วนตัว สามารถทำได้โดยไม่ต้องขอใบอนุญาต แต่ต้องไม่เกิน ชิ้นสำหรับแว่นตา และจำนวนใช้งานไม่เกิน 2 เดือนสำหรับคอนแท็กเลนส์ ถ้าส่งไปญี่ปุ่นจำนวนมากกว่าที่กำหนด และผู้รับไม่สามารถเตรียมเอกสารทางการแพทย์ได้ ของทั้งหมดจะถูกตีกลับมาที่ผู้ส่งทันที

นี่เป็นแค่บางส่วนเท่านั้น ถ้ามีคำถามเกี่ยวกับการส่งของไปญี่ปุ่น สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายที่ดูแลท่าน หรือคุยกับเจ้าหน้าที่ของ DHL Express ได้เลยโดยคลิกปุ่ม Live Chat

 

10.    ส่งของไปญี่ปุ่น ส่งแบบไหนดี

แต่ละประเทศ รวมถึงญี่ปุ่นต่างก็มีระเบียบด้านศุลกากรที่ไม่เหมือนกัน เลือกส่งของไปญี่ปุ่นกับผู้ให้บริการที่เชี่ยวชาญด้านศุลกากรอย่าง DHL Express มั่นใจได้ในคุณภาพที่เป็นที่ไว้ใจทั่วโลก ต้องการส่งของไปญี่ปุ่นใช่ไหม? เช็กราคาแล้วส่งเลยผ่าน MyDHL+ คลิก  

 

หากไม่มั่นใจ สามารถตรวจสอบเงื่อนไขการส่งไปยังญี่ปุ่นกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายที่ดูแลท่าน หรือติดต่อเจ้าหน้าผ่าน Live Chat ตามวันเวลาทำการ หรือโทรศัพท์ 02-345-5000 ตลอด 24 ชั่วโมง 



Blogs & E-Books

Boost your customer experience with On Demand Delivery
HOT NEWS
Boost your customer experience with On Demand Delivery
Read more
อัพเดทล่าสุด : 21/05/2021 - 15:01:11
ออกแบบภูมิปัญญาไทยให้ใกล้เทรนด์โลก
ออกแบบภูมิปัญญาไทยให้ใกล้เทรนด์โลก
DHL Express continues to strengthen its global aviation network with the purchase of eight additional Boeing 777 Freighters
DHL Express continues to strengthen its global aviation network with the purchase of eight additional Boeing 777 Freighters
Tags Box